ประวัติศาสตร์บ้านเรือนไทย |
ประวัติศาสตร์บ้านเรือนไทย หลักฐานของบ้านเรือนไทยตั้งแต่สมัยโบราณเก่าแก่นับแต่ล่วงพ้นเลยพุทธ ศตวรรษที่ ๑๘ ไปแล้ว ไม่ปรากฏมีประจักษ์พยานทางโบราณคดีให้เห็น แต่เท่าที่ประมวลหลักฐานอย่างหยาบ ๆ ดูแล้วเข้าใจว่า บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของผู้คนในดินแดนแหลมทอง โดยเฉพาะในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งภาคใต้คงจะอาศัยอยู่ในเรือนเสาสูง หลังคามุงแฝกกับหญ้าคา (อันเป็นบ่อเกิดของคำว่าหลังคา) เครื่องบนหลังคาก็คงเป็นโครงสร้างของหลังคาสูงเป็นแบบจอมแห อันเป็นธรรมชาติการก่อสร้างของชาวพื้นเมืองแถบเอเชียงอาคเนย์ ซึ่งนิยมสร้างบ้านเรือนของชนขั้นสามัญชนระดับกลางและระดับต่ำด้วยการสร้าง หลังคาเป็นโครงสร้างไม้ไผ่ หรือถ้าจะเป็นเรือนไม้แบบเรือนสับก็ต้องใช้หลังคาเป็นสามเหลี่ยมลาดสูง เพราะในดินแดนแถบนี้อยู่ในร่องมรสุม มีพายุฝนรุนแรงเป็นประจำ หากใช้หลังคาลาดต่ำก็ไม่อาจทนทานต่อลมและฝนที่กระหน่ำอย่างหนักหน่วงได้ เนื่องด้วยการมุงหลังคาด้วยหญ้าคาหรือแฝกกับใบไม้ เช่น ใบจาก ถ้ามุงหลังคาต่ำพายุฝนอาจจะตลบเปิดหลังคาทำให้หลังคารั่วได้ หรือมิฉะนั้นหลังคาลาดต่ำก็ไม่ช่วยผ่อนแรงรับน้ำหนักน้ำฝน ถ้าโครงสร้างหลังคาอันทำด้วยไม้ไผ่เกิดมีมอดและปลวกกินก็จะเปราะหักครืนลงมา ยามเมื่อฝนกับลมพายุกระหน่ำอย่างรุนแรง จากรูปถ่ายโครงสร้างหลังคาของอาคารบ้านเรือนในสมัยทวารวดีที่ถ้ำกาญจนดิษฐ์ สุราษฎ์ธานี มีรูปปั้นนูนด้วยดินเหนียวอยู่บนผนังถ้ำ เห็นโครงสร้างหลังคาแบบ จั่วหน้าพรหม เหมือนกับที่เราเห็น จากใบเสมาที่เมืองฟ้าแดดสงยาง กาฬสินธุ์ (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น) การวางขื่อแล้วทำลูกตั้งซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แบบจั่วหน้าพรหมนี้ เป็นลักษณะปฐมของโครงสร้างบ้านเรือนของชาวพื้นเมืองในดินแดนไทยประเทศ หลักฐานจากชิ้นส่วนของรูปปั้นสถาปัตยกรรมเคลือบที่เรียกว่า สังคโลก พบยังศรีสัชนาลัย มีการระบายสีหนักประกอบให้เห็นโครงสร้างด้านตัดของจั่วเป็นจั่วแบบหน้า พรหม เห็นลักษณะการเข้าไม้แบบ ลูกฟัก มี ปีกนก และใต้ชื่อลงมาเป็น ฝาปะกน และมี โก่งคิ้ว ปั้นลม เป็นแบบนาคลำยอง ทำให้ได้รับความรู้ว่าสถาปัตยกรรมอาคารไม้ของอาณาจักรศรีสัชนาลัย สุโขทัยนั้น เป็นแบบเรือนฝาปะกนที่เรารู้กันในปัจจุบันนี่เอง และถ้าเป็นอาคารอุโบสถ วิหาร มีโก่งคิ้ว และนาคลำยอง ก็คล้ายกับสถาปัตยกรรมของอาณาจักรเชียงใหม่ทางล้านนาดินแดนถัดไปทางเหนือ นั้น สภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของกลุ่มชนชาวไทยเท่าที่ดูจากสถาปัตยกรรมที่ปรากฏ หลักฐานทางโบราณวิทยาดังที่อ้างมาแล้วนี้ เห็นได้ว่าชนชาติในดินแดนแถบนี้ได้มีศิลปวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องกันมานับ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยไม่ขาดตอน ซึ่งมองเห็นได้จากการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนที่มีแบบแผนอันเดียวกัน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น